Sandwich Generation – วัยเดอะแบกที่ต้องบริหารสุขภาพจิตและสุขภาพการเงินให้ดี

Sandwich Generation (กลุ่มคนแซนด์วิช) คือใคร?

คำว่า Sandwich Generation ถูกใช้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1981 โดย Dorothy Miller นักสังคมสงเคราะห์ชาวอเมริกัน เพื่ออธิบายกลุ่มคนวัยทำงานอายุประมาณ 30–50 ปี ที่ต้องรับผิดชอบดูแลทั้งพ่อแม่สูงวัยและลูกที่ยังไม่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ไปพร้อมๆกัน คนกลุ่มนี้จึงเปรียบเสมือน “ไส้ของแซนด์วิช” ที่อยู่ตรงกลางระหว่างชีวิตของสองรุ่น และต้องเผชิญกับแรงกดดันและภาระมหาศาล ทั้งในด้านการเงิน เวลา และอารมณ์ — กลายเป็นช่วงชีวิตที่ท้าทายที่สุดของหลายคนในยุคที่สังคมกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร

จากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าในปีพ.ศ 2566 ประเทศไทยมีครอบครัวที่เป็นลักษณะของ Sandwich กว่า 3.4 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14 ของครัวเรือนทั้งหมด และถึงแม้สมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นวัยแรงงาน แต่ก็มีอัตราการพึ่งพิงสูง โดยวัยแรงงานมีสัดส่วนร้อยละ 53.8 ขณะที่วัยสูงอายุมีสัดส่วนร้อยละ 21.8 และเด็กมีสัดส่วนร้อยละ 24.3
ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่ม Sandwich Generation จึงจำเป็นต้องรู้จักบริหารจัดการเงินและวางแผนชีวิตอย่างรอบคอบ มากกว่าวัยอื่น ๆ ด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ เช่น

1. รับผิดชอบหลายชีวิตพร้อมกัน ต้องดูแลทั้งลูก พ่อแม่สูงวัย และค่าใช้จ่ายของตัวเอง เช่น ค่าศึกษา ค่ารักษาพยาบาล ผ่อนบ้าน รถ และเก็บเงินเกษียณ ทำให้รายจ่ายสูงแต่รายได้เท่าเดิม หากไม่วางแผนเสี่ยงเป็นหนี้หรือเงินไม่พอใช้ในอนาคต
2. คนในวัย Sandwich Generation อยู่ในช่วงอายุ 30–50 ปี ซึ่งเป็น “กลางทาง” ของชีวิตการทำงาน ถึงแม้ยังพอมีเวลาในการออมและลงทุนเพื่ออนาคต แต่ไม่มากพอที่จะผลัดวันประกันพรุ่งได้อีกต่อไป หากไม่เริ่มวางแผนการเงินในช่วงเวลานี้ จะเสี่ยงไม่มีเงินเพียงพอสำหรับใช้หลังเกษียณ การเริ่มต้นช้านอกจากต้องออมในสัดส่วนที่มากขึ้น ยังอาจพลาดโอกาสการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาวและสร้างความมั่งคงให้ตัวเองและครอบคัว
3. หากมีเหตุฉุกเฉินจะทำให้พังทั้งระบบ เช่น พ่อแม่ล้มป่วยหนัก หรือลูกต้องย้ายโรงเรียนกระทันหัน หากไม่มีเงินสำรองหรือประกัน จะต้องถอนเงินเก็บหรือเงินลงทุนออกมาใช้ อาจสร้างความเสี่ยงเสียแผนเกษียณหรืออนาคตลูก
4. ต้องวางแผนระยะสั้น-กลาง-ยาวในเวลาเดียวกัน แผนระยะสั้นคือค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัว แผนระยะกลาง เช่น ค่าเทอมลูก ค่าดูแลพ่อแม่ และแผนระยะยาวคือ เงินเกษียณ เงินออมยามชรา

เพราะรายได้อาจยังไม่มากเท่าวัย 50+ แต่ภาระสูงกว่าทุกช่วงวัย กลุ่ม Sandwich Generation จึงต้องมีการวางแผนและรับมืออย่างเป็นระบบ ซึ่งเริ่มต้นได้จากพื้นฐานง่าย ๆ ที่ควรท่องให้ขึ้นใจ “เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตและอนาคตของตนเองและครอบครัว”
  • ทำความเข้าใจภาระ เริ่มจากการสำรวจรายรับ รายจ่าย และภาระหนี้สินทั้งหมด เพื่อประเมินความสามารถในการใช้จ่ายและวางแผนการเงินให้เหมาะสม
  • วางแผนงบประมาณ จดบันทึกรายรับรายจ่ายประจำวัน จัดลำดับความสำคัญและตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป
  • ออมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รวมถึงควรทำประกันเพื่อช่วยลดความเสี่ยง
  • วางแผนภาษีเพื่อลดภาระและเพิ่มเงินออม ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างคุ้มค่า เช่น ค่าลดหย่อนภาษีบุตร ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดา การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี เช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund หรือ RMF) กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ประกันควบการลงทุน ฯลฯ ซึ่งถือเป็นการออมเงินในระยะยาวด้วย
  • วางแผนการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่ง “การลงทุน” มีหลายรูปแบบ เช่น การซื้อทองรูปพรรณ ทองแท่ง หรือที่ดินเก็บไว้ การซื้อพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ หุ้น หรือหลักทรัพย์อื่น ๆ ซึ่งทุกการลงทุนมีความเสี่ยง จึงต้องศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างเหมาะสม แต่ ‘ความเสี่ยง’ ในมุมการลงทุนไม่ใช่เรื่องลบเสมอไป เพราะการไม่ลงทุนเลย หรือวางเงินไว้ผิดที่ อาจทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมาย และมีเงินไม่พอใช้ในบั้นปลายของชีวิต

อย่าลืมดูแลใจ — สุขภาพจิตสำคัญไม่แพ้การเงิน

ด้วยภาระและความรับผิดชอบที่หนักหน่วงทั้งเรื่องงาน ครอบครัว และตัวเอง คนวัย Sandwich Generation จึงเสี่ยงต่อ ความเครียดสะสม ภาวะหมดไฟ (Burnout) หรือแม้แต่ โรคซึมเศร้า ได้มากกว่าวัยอื่น ๆ การบริหารสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากใจไม่ไหว ร่างกายและหน้าที่อื่น ๆ ก็จะสั่นคลอนตามไปด้วย
  • ยอมรับและเข้าใจบทบาทของตนเอง เข้าใจว่าตัวเองกำลัง “รับบทหนัก” หลายด้าน ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง ไม่เปรียบเทียบครอบครัวตนเองกับครอบครัวอื่น หรือกับตนเองในอดีต และยอมรับว่าการขอความช่วยเหลือไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือความเข้มแข็ง
  • บริหารจัดการความเครียดอย่างมีสติ อาทิ ฝึกสติ (Mindfulness) เช่น การหายใจลึก ๆ การอยู่กับปัจจุบัน, เลือกทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง อ่านหนังสือ และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมหลีกหนีที่ไม่ดี เช่น กินเหล้า เล่นมือถือทั้งวัน หรือละเลยตัวเอง
  • จัดสรรเวลาให้ตัวเองอย่างจริงจัง กำหนดเวลาส่วนตัวอย่างน้อยวันละ 15–30 นาที สำหรับการพักผ่อนหรือกิจกรรมที่ชอบ วางตารางชีวิตให้สมดุลระหว่างงาน–ครอบครัว–ตัวเอง และอย่าละทิ้งความสุขเล็ก ๆ เช่น การได้คุยกับเพื่อน การออกไปเดินเล่น
  • เปิดใจพูดคุยไม่เก็บทุกอย่างไว้คนเดียว การพูดคุยกับคู่ชีวิต ลูก หรือพ่อแม่อย่างจริงใจ ถึงความเหนื่อยและสิ่งที่ต้องการ การสื่อสารเพื่อ “ขอความร่วมมือ” แทนที่จะ “รับทุกอย่างไว้คนเดียว” หรือหากรู้สึกหนักมาก ควรปรึกษานักจิตวิทยา หรือนักบำบัดมืออาชีพ
  • สร้างเครือข่ายสนับสนุน การเข้าร่วมกลุ่มคนวัยเดียวกัน เช่น กลุ่มคนดูแลพ่อแม่ กลุ่มพ่อแม่ลูกวัยเรียน ฯลฯ การแชร์ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนวิธีการจัดการกับความเครียด และการรับรู้รู้ว่า “เราไม่ได้อยู่คนเดียว” ก็จะช่วยคลายความกดดันได้มาก
  • การดูแลร่างกายควบคู่กับจิตใจ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินที่ดีต่อจิตใจ การนอนหลับให้เพียงพอเพราะการพักผ่อนน้อยจะทำให้จิตใจอ่อนแอลง และกินอาหารที่มีประโยชน์
Back to top